เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรม สัจธรรมเป็นสิ่งที่แสวงหา โลก โลกการพัฒนา การพัฒนาโดยความเป็นธรรม การพัฒนาโดยกิเลส โดยกิเลสมันก็เอาธรรมนี้มาอ้าง กิเลสบังเงา นี่เป็นกิเลสทั้งนั้น แต่เอาธรรมมาบังเงาไว้เป็นหน้าฉาก หลังฉากคือกิเลสเอารัดเอาเปรียบเขา
แต่ถ้าเป็นธรรมๆ นะ ความเป็นธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลากราบธรรมๆ กราบธรรมเพราะอะไร กราบธรรมเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เวลาไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ มันมีมารยาสาไถยทั้งนั้น อ้างว่าเป็นธรรมๆ แต่ธรรมโดยมารยาไง หน้าฉากมีความเมตตากรุณา หลังฉากก็เอารัดเอาเปรียบเขา นี่มันเอารัดเอาเปรียบใคร เอารัดเอาเปรียบนะ เอารัดเอาเปรียบ เบียดเบียนตนแล้วเบียดเบียนผู้อื่น มันเบียดเบียนตนก่อนไง ตนมีความลังเลสงสัย ตนมีความกังวลในหัวใจ มีความวิตกกังวลในใจทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้ามันมีกิเลส กิเลสมันเป็นอย่างนั้นน่ะ กิเลสมันอยู่ในจิตใต้สำนึกนั้น เวลาแสดงธรรมๆ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันไม่ใช่สัจจะไม่ใช่ความจริงอันนั้น
ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริง ถ้าเป็นธรรมๆ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ นะ กราบธรรมคือสัจธรรมภายในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมนะ กิริยา นี่มันเป็นวัฒนธรรมเป็นประเพณี เป็นเรื่องโลก แล้วเราก็ศึกษากันตรงนั้นน่ะ แต่กิเลสซุกไว้ในใจนะ กิเลสซุกไว้ในใจ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่กิเลสในหัวใจนั้นน่ะมันไม่เป็นความจริงขึ้นมา ถ้ามันไม่เป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม
เวลาทางโลก เวลาโลกพัฒนาที่ยั่งยืน การพัฒนาที่ยั่งยืนมันต้องมีความเป็นธรรมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ เขามีการเจรจา มีการแบ่งปันกัน มีการแบ่งปัน มีการปรึกษาหารือ นี่ความเป็นธรรมๆ ถ้าความเป็นธรรมนะ ถ้าความเป็นธรรม คนมันรู้ได้ ถ้าความเป็นธรรม เราจะเห็นแก่ตัว เราจะเอารัดเอาเปรียบอยู่คนเดียว สังคมเขาไม่ให้อยู่ในสังคมนั้น
เวลาถ้าเขาเจรจากันตกลงกันความเป็นธรรมแล้วแบ่งสันปันส่วนกันการเป็นธรรม เวลาแบ่งสันปันส่วนเป็นธรรมแล้ว เราอยู่ในกติกาในการเจรจานั้น เราต้องยอมรับความจริงอันนั้น เราจะได้รับผลประโยชน์เท่านั้น แล้วเป็นผลประโยชน์ที่ยั่งยืน
แต่ถ้ามันมีการเห็นแก่ตัว มีการเอารัดเอาเปรียบขึ้นมา นี่ไง เกษตรกรไทย อย่าให้อะไรมีราคาดีเลย มันปลูกหมดเลย แล้วก็ราคาตก มันไม่มีการจัดสรร มันไม่มีการเจรจา ถ้ามันเป็นกฎหมายเป็นระเบียบกติกาขึ้นมา มันก็ให้ผู้ที่แสวงหาผลประโยชน์นั่นน่ะ เพราะคนมันเจ้าเล่ห์
ผู้ปกครองเจ้าเล่ห์ ผู้นำเอารัดเอาเปรียบ แล้วก็เอาประชาชนมาเป็นเหยื่อ เอาสังคมมาเป็นเหยื่อ นี่เอาสังคมมาเป็นเหยื่อนะ หลอกลวงเขาด้วยหน้าฉาก เวลาหน้าฉากว่านี่เป็นคุณงามความดี เป็นประโยชน์ทั้งนั้นน่ะ แต่หลังฉาก หลังฉากประโยชน์ของมัน ประโยชน์ของมันเสร็จแล้วนะ สังคมมีแต่ความล้มเหลว สังคมมีแต่การเจ็บช้ำน้ำใจ แล้วก็ซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ กันอยู่อย่างนั้นน่ะ นี่ไง นี่ถ้ามันเป็นมารยา ถ้ามันเป็นมารยาก็มารยาสาไถยทางโลก
ถ้ามันเป็นจริงๆ มันเป็นจริงมาจากหัวใจอันนั้น ถ้ามันเป็นจริงในหัวใจอันนั้น สัจธรรมความเป็นจริงตามความเป็นจริง ถ้าสัจธรรมความเป็นจริงมันจะย้อนกลับเข้ามาภายในระหว่างกิเลสกับธรรมในหัวใจของเรา
ระหว่างกิเลสกับธรรมนะ ความมักง่าย ความเห็นแก่ตัว ความเอารัดเอาเปรียบ การอยากจะอยู่เหนือมนุษย์ นี่มันเป็นกิเลสโดยจิตใต้สำนึกทั้งนั้นน่ะ เวลาเขามาประพฤติปฏิบัติเขามาลดอันนี้ เขามาลดอันเหยียบย่ำทำลายคน นี่เขามาลดอันนี้ ถ้าลดอันนี้ ถ้าผู้ใดประพฤติปฏิบัติเข้ามาถอดถอนกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน นี่ไม่เบียดเบียนตน ตนนั้นได้ประโยชน์ก่อน พอตนได้ประโยชน์แล้วสังคมนั้นจะได้ประโยชน์กับเราไปด้วย ถ้าตนยังไม่ได้ประโยชน์ก่อน ตนนั้นยังไม่ได้ประโยชน์ก่อนมันเผามันผลาญไง
ถ้ามันเผามันผลาญ หลวงตาท่านบอก ปฏิบัติพอเป็นพิธี ปฏิบัติพอเป็นพิธี ไอ้พวกพิธีกรรมน่ะ พิธีปฏิบัติน่ะ แล้วมันจัดเป็นพิธีนะ
แล้วเดี๋ยวนี้นะเวลาปฏิบัติ เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านปฏิบัติให้เป็นสัจจะเป็นความจริง เป็นสัจจะเป็นความจริง ปฏิบัติตามข้อเท็จจริงนั้น ถ้าตามข้อเท็จจริงนั้นน่ะ ธรรมะอยู่ฟากตายๆ กิเลสมันปลิ้นมันปล้อน มันต้องมีสติปัญญาเท่าทันมันทั้งนั้นน่ะ เข้าไปต่อสู้กับมัน
ไอ้นี่ไม่ จัดเป็นพิธีกรรม ทำให้ครบสูตรแล้วก็จบ นี่ทำครบสูตรไง ทำครบสูตรแล้วมันได้อะไร พอเป็นพิธีๆ ไง นี่ไง มันเป็นจริงเป็นจังมาจากไหน
ถ้ามันจะเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เพราะถ้ามันมีความสงบระงับเข้ามาในหัวใจนั้น ถ้าจิตมันมีความสงบระงับเข้ามาในหัวใจนั้น ถ้ามันจะเกิดปัญญาๆ ปัญญาที่มันจะเกิดขึ้นมันเกิดตามข้อเท็จจริงอันนั้น ถ้ามันเกิดขึ้นตามข้อเท็จจริงอันนั้น คนเป็นโรคแล้วหายจากโรคมันจะรู้ว่าโรคมันเป็นอย่างไร หายจากโรคเป็นอย่างไร
ไอ้คนไม่เคยเป็นโรคเลยมันก็ไม่รู้ว่าโรคเป็นอย่างไรทั้งนั้นน่ะ แต่มันศึกษามากรู้มากนะ โรคนี้เป็นอย่างนี้ๆๆ การรักษาวิธีอย่างนี้ๆๆ แล้วก็หายอย่างนี้ เพราะมันไม่ได้เป็น แต่ถ้าคนเป็นนะ พอเข้าโรงพยาบาลไปถึงตรวจเช็ก มะเร็งขั้นที่ ๔ โอ้โฮ! ใจมันวูบเลยนะ ช็อกตายเดี๋ยวนั้นเลย
ถ้าเป็นโรคจริงๆ ก็เป็นเรื่องหนึ่ง ไม่ได้เป็นโรคจริงๆ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แล้วก็วิธีการรักษาก็ศึกษามาอีกเรื่องหนึ่ง แล้วเวลาปฏิบัติไปแล้ว ปฏิบัติก็หายแล้วก็เรื่องหนึ่ง ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย
แต่ถ้าเป็นจริงๆ คนที่เป็นโรคนั้น เวลาคนที่เป็นโรคนั้นเวลารักษา รักษาเกือบเป็นเกือบตาย คีโมแล้วคีโมอีกกว่ามันจะกำจัดเนื้อร้ายออกไป แล้วพอมันหาย มันฟื้นฟูขึ้นมา เออ! ตอนเป็นโรคเป็นทุกข์เกือบตาย ตอนหายจากโรคมันเห็นชัดเจนอย่างนั้น ถ้ามันเห็นชัดเจนอย่างนั้น
นี่ไง ถ้ามันเป็นธรรมความเป็นจริง เป็นธรรมความเป็นจริงในหัวใจนั้นนะ นี่ถ้าความเป็นธรรมทางโลก ถ้าความเป็นธรรมทางโลก ผู้ที่หัวใจเป็นธรรม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ในสมัยพุทธกาลนะ ใครจะทำสิ่งใดก็แล้วแต่จะไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อชาตศัตรูจะไปรบกับลิจฉวีก็มาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชนะหรือไม่ชนะ
แพ้ แพ้แน่นอนถ้าไปสิ เพราะว่าอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พรเขาไว้ กติกา ๑๖ ข้อ ให้สามัคคี ให้รักกัน ให้ร่วมมือกัน ให้ปรึกษาหารือกัน ให้เคารพผู้ใหญ่ รบไปเถอะ แพ้ทั้งนั้นน่ะ ส่งวัสสการพราหมณ์ไปยุไปแหย่ ยุแหย่จนมันแตกแยก ยุแหย่จนมันทะเลาะกัน เข้าไปรบชนะ
นี่ไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาให้ไว้แล้ว ผู้ที่เป็นธรรมๆ เขารักษาแล้วก็ดูแลของเขา ไอ้พวกอยากได้ผลประโยชน์ไปยุไปแหย่ไปทำลายเขา ไปทำลายเขาน่ะ ทำลายนั้นไง ไปทำลายเขา
นี่พูดถึงว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ ธรรมนี้เป็นวัฒนธรรมนะ ถ้ามันเป็นความจริง ความจริงในหัวใจมันมหัศจรรย์มากกว่านั้น มหัศจรรย์มากกว่านั้นเพราะอะไร
คนจะร่ำรวยมั่งมีศรีสุขขนาดไหน เวลาจะตายนี่นะ คนอาลัยอาวรณ์ทั้งนั้นน่ะ ทุกคนกลัวความเป็นความตาย แต่พระพุทธศาสนาสอนนะ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
โอ้โฮ! ขนาดนั้นเชียวหรือ พระพุทธศาสนาสอนยอดเยี่ยมขนาดนั้นเชียวหรือ ทำไมดูพระมันสำมะเลเทเมาขนาดนั้นน่ะ
ก็ไอ้พระมันเห็นแก่ตัว ไอ้พระมันจะเอาความสุขเฉพาะหน้า เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ท่านทุ่มเทของท่านทั้งชีวิตจิตใจของท่าน เพราะชีวิตจิตใจของท่าน เวลาท่านไม่รู้นะ อยู่ในครรภ์ ๙ เดือนไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น คลอดออกมาก็ไม่รู้ เติบโตขึ้นมาในโลกนี้ก็ไม่รู้ เวลามาประพฤติปฏิบัติก็ยังไม่รู้ เวลามันรู้จริงขึ้นมาๆ อ๋อ! ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายมันเป็นแบบนี้ นี่พระพุทธศาสนาสอนขนาดนั้นนะ ถ้าสอนขนาดนั้น ถ้าคุณธรรมอันนั้นถ้ามันเกิดในใจ พระพุทธศาสนาถึงเป็นศาสนาที่ยอดเยี่ยม มีคุณค่ามาก แล้วถ้าผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติ ผู้ที่จะเอาความจริงขึ้นมามันต้องมีวาสนา
คำว่า “วาสนา” มันมีสัจจะ มันไม่กะล่อน ไม่ปลิ้นปล้อน ไม่หลอกลวง ถ้ามันกะล่อน มันปลิ้นปล้อน มันจะเอาความจริงมาจากไหน ก็มันกะล่อน ธรรมะกะล่อน มะกอกสามตระกร้า กะล่อนปลิ้นปล้อนไปเรื่อย เอาความจริงมาจากไหน ไม่มีหรอก
ถ้าเป็นความจริงๆ ความจริงมันมีสัจจะภายใน ถ้าสัจจะภายในนะ ไม่เบียดเบียนตน ตนไม่เบียดเบียนเราเอง ไม่ขวนขวายสิ่งใดมาเป็นโทษกับเราเอง เป็นโทษเราไม่ได้ มันเป็นโทษเราไม่ได้ สิ่งที่เป็นโทษน่ะ เป็นโทษ มันเป็นคนที่ฉลาด ไม่เอาสิ่งใดเอาฟืนเอาไฟมาเผาตนเอง มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ สัจธรรม สัจธรรมถ้ามันเป็นความจริงนะ
ดูสิ เวลาคนอ้างอิงๆ นะ ในสมัยพุทธกาลโจรมันปล้น ปล้นเสร็จแล้วมันหนีไป มันเอาเงินไปซ่อนไว้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปบิณฑบาตกับพระอานนท์ผ่านไปเห็นเงินซ่อนอยู่น่ะ “อสรพิษ อสรพิษ อสรพิษ” นี่มุมมองขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ
ไอ้ชาวนาที่นั่นมันเห็นเข้ามันก็รีบวิ่งไปเลยเพราะมันเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันจะไปจับอสรพิษ โอ๋ย! ไปเห็นเข้าเป็นถุงเงินน่ะ มันเอาถุงเงินวางไว้นั่นแล้วก็ไถนาของมันต่อไป
เวลาเจ้าหน้าที่เขาตามโจรนั้นมาเขามาเจอถุงเงินนั้น เขาจับชาวนานั้นไป บอกชาวนานี้เป็นโจรปล้น ชาวนามันเป็นชาวนา มันไม่สามารถที่จะไปคัดง้างกับเจ้าหน้าที่ได้ มันบ่นอยู่คำเดียวแหละ “อสรพิษ อสรพิษ” อรสพิษให้โทษกับมันขนาดนั้น
เวลาเข้าไปถึงพระเจ้าพิมพิสารมั้ง พระเจ้าพิมพิสารว่า “ทำไมเธอพูดอย่างนั้นล่ะ”
“เพราะว่าพูดตามตถาคต พูดตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้าพเจ้าทำนาอยู่ที่นั่นเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผ่านไปบอกว่า อรสรพิษ อสรพิษ อสรพิษ ข้าพเจ้าก็ถือด้ามจอบคิดว่าจะไปตีอสรพิษ แต่ไปเจอแล้วไปเจอถุงเงินนั้น” นี่ชาวนาเขาซื่อสัตย์ไง เขาเก็บวางไว้นั่นแหละ แล้วเขาก็ไถนาของเขาต่อไป เขาไม่ได้ปล้นหรอก
ไม่เชื่อ ต้องนิมนต์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบอกว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ชาวนานั้นรอดตาย รอดตาย เห็นไหม นี่ไง ด้วยสัจจะด้วยความจริง ถ้าสัจจะความจริง แต่สัจจะความจริงทางโลก อสรพิษๆ อสรพิษมันก็เป็นงูเป็นพิษร้ายที่มันจะกัดเราให้ถึงแก่ชีวิตได้
นี่ไง บอก “อานนท์ นี่อสรพิษ” เงินทองเป็นอสรพิษ มันกัด ชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณมันอสรพิษ มันกัดหัวใจทุกหัวใจที่มักมากอยากใหญ่อยากมีอำนาจวาสนา มันกัดหมด นี่ไง
แต่ถ้าผู้มีธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผ่านไปก็เดินผ่านไป ไม่สนใจ อสรพิษ อสรพิษกองอยู่นี่ แล้วอสรพิษมันก็แสดงฤทธิ์เดชนะ ชาวนาเกือบโดนประหารชีวิต แล้วสุดท้ายแล้วด้วยธรรม ด้วยอำนาจวาสนาบารมีก็พ้นภัยนั้นมาได้ นี่อสรพิษ
แต่โลกเห็นอย่างนั้นไหม สิ่งที่โลกไม่เห็นอย่างนั้นเพราะอะไร นี่เป็นโลกไง โลกกับธรรมๆ ไง โลกกับธรรมมันเรื่องของโลกก็ไว้กับโลกนั้น เราเกิดมากับโลกนะ พระองค์ใด ผู้ที่ปฏิบัติคนใดมีพ่อมีแม่ทั้งนั้นน่ะ เวลาพระจะบวชต้องพ่อแม่อนุญาตนะ เพราะพ่อแม่ไม่อนุญาตบวชไม่ได้ เพราะพระเจ้าสุทโธทนะขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ นี่เพราะอะไร เพราะมันสะเทือนหัวใจของพ่อของแม่ไง นี่ไง ด้วยสายบุญสายกรรม สิ่งที่บวชมาแล้ว พระองค์ใด ผู้ปฏิบัติองค์ใดก็มีพ่อมีแม่ทั้งนั้น ก็มีชาติมีตระกูลทั้งนั้น ก็เกิดมากับโลกทั้งนั้น ถ้าเกิดมากับโลกนะ ใครมีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหน หาทางของตนที่จะพาออกจากโลกนี้ให้ได้
ถ้าหาทางออกจากโลกนี้ให้ได้ อยู่กับโลก โลกก็เป็นเรื่องโลกๆ โลกก็มีอาชีพทางโลก ปัจจัยเครื่องอาศัยดำรงชีพ ดำรงชีพไว้ทำไม ดำรงชีพไว้ ถ้ามีสติปัญญา นี่อริยทรัพย์ อริยทรัพย์มันแสวงหาที่ไหนไม่ได้ แสวงหาธนาคารชาติใด ธนาคารโลก ธนาคารใดก็ไม่เก็บทรัพย์สมบัติอย่างนี้ไว้ ทรัพย์สมบัติอย่างนี้เก็บไว้ในอริยสัจสัจจะความจริงในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันเกิดมาในใจของเราเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายกให้กับปัจจัตตัง ให้สันทิฏฐิโก ให้เกิดจากความจริงในใจผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น ในใจผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้นถ้ารู้จริงเห็นจริงตามธรรมอันนั้นมันจะเกิดความมหัศจรรย์ในใจของมันไง ถ้าเกิดความมหัศจรรย์ในใจของมัน สรรพสิ่งในโลกนี้ไม่มีค่า
ธรรมเหนือโลกๆ เหนือโลกเหนือสงสารเหนือวัฏฏะ ไม่อยู่ใต้วัฏฏะ ไม่อยู่ใต้สังคม ไม่อยู่ใต้ในการบีบบี้สีไฟของใคร ไม่อยู่ใต้ใดๆ ทั้งสิ้น อยู่เหนือโลก แต่ชีวิตที่ยังดำรงชีพอยู่ ยังมีอยู่ สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็อยู่กับโลกนี่แหละ
แล้วพวกฆราวาส “จะไปไหว้พระอรหันต์ จะไปไหว้พระอรหันต์” มันเดินชนพระอรหันต์ มันไม่รู้จักนะ แต่เวลามันจะไปไหว้มันไปไหว้ขี้ ไอ้ขี้ที่เลียนแบบ แหม! วางฟอร์ม พระอรหันต์ต้องสงบเสงี่ยม อู๋ย! มันสงบเสงี่ยมหมดเลย ไอ้ที่มันเดินชนไปชนมานี่มันไม่รู้จัก มันจะไปหาพระอรหันต์ พระอรหันต์ไหนของมันก็ไม่รู้ไง นี่ความเห็นของโลกไง
นี่ไง ท่านยังดำรงชีพอยู่ มันดำรงชีพอยู่ สอุปาทิเสสนิพพาน เศษส่วน ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มันยังมีชีวิตอยู่ เห็นไหม เวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ไปลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน “จงเห็นแก่เวลาตามความเหมาะสมของเธอเถิด ให้ความเหมาะสม ให้ความพอดีของเธอเถิด”
ไม่มีหน้าและไม่มีหลัง ไม่มีตายและไม่มีไม่ตาย ไม่มีการอยู่และการไป แต่ให้สมควรแก่เวลาของเธอเถิด สมควรแก่เวลาที่อยู่หรือไป ตามสบาย ไม่มีสิ่งใด ไม่มีสิ่งใดมีค่าไปกว่านั้น
เวลาสิ่งที่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามหัศจรรย์เลอค่า เลิศมหาศาล แต่ถ้าเป็นสัจจะความจริงแล้วมันเป็นค่าเท่ากับศูนย์ เท่ากับศูนย์ ไม่มีค่าสรรพสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีแรงเสียดสี ไม่มีแรงกระทบอะไรทั้งสิ้น จบสิ้นกระบวนการตั้งแต่กิเลสสิ้นแล้ว ให้เห็นควรกับเวลาของเธอเถิด เวลาที่มันจะจบสิ้น เอวัง